Saturday, 18 May 2024
POLITICS NEWS

‘ก้าวไกล’ ออกแถลงการณ์ กรณี ‘บุ้ง’ เสียชีวิต เรียกร้องรัฐบาล 4 ข้อ ย้ำ!! ต้อง ‘ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม-สร้างประชาธิปไตยเข้มแข็ง’ ให้ปชช.

เมื่อวานนี้ (17 พ.ค. 67) พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์ต่อกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง) นักกิจกรรมทางการเมือง เรียกร้องต่อรัฐบาลให้มีบทบาทในการสร้างการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน สร้างหลักประกันในการประกันตัว และคลี่คลายสถานการณ์เพื่อนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ของสังคม

ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประสบพบเจอกับการรัฐประหาร อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ประชาชนจึงตั้งความหวังว่า การนิรโทษกรรมทางการเมือง ตลอดจนการปรับปรุงกฎหมายที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะเป็นวาระที่สำคัญของรัฐบาลนี้

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ปรากฏ การเสียชีวิตของ เนติพร เสน่ห์สังคม จากการอดอาหารประท้วงต่อการไม่ได้รับประกันตัว ย่อมส่งผลให้ความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมเสียหายเป็นอย่างมาก พรรคก้าวไกลจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อดำเนินการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อกระบวนการยุติธรรมอันเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชน

1) ต่อการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ควรกำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาลในการชะลอคดีทางการเมือง เพื่อไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่มเติมจนกว่าจะได้ความชัดเจนในการจัดทำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และต้องกำหนดให้สิทธิในการประกันตัว การไม่คัดค้านการประกันตัว หรือมีความเห็นไม่ให้ถอนการประกันตัวของตำรวจในคดีการเมือง ซึ่งสามารถทำได้ทันที เนื่องจากตำรวจอยู่ในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง

2) ข้อเสนอต่อการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ขององค์กรอัยการ ให้นายกรัฐมนตรีมีความเห็น หรือรัฐบาลมีมติ ครม. เสนอไปยังอัยการสูงสุด ให้พิจารณาให้สั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้องได้ตามมาตรา 21 พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ 2553 ประกอบข้อ 7 ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ 2554

ทั้งนี้ ข้อ 7 (4) เหตุผลตามความเห็นของรัฐบาลโดยมติคณะรัฐมนตรีถึงผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์สำคัญของประเทศ และที่แก้ไขเพิ่มเติม 2561, ข้อ 7 (5) เหตุผลตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีหรือหน่วยงานอื่นถึงผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ข้อ 7 (6) ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือความสามัคคีของคนในชาติ

ซึ่งนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเมืองทั้งหลาย ให้คดีเป็นอันยุติลงไป

3) ข้อเสนอต่อคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 108/1 ให้อำนาจศาลยุติธรรมในการใช้ดุลพินิจพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ทั้งนี้ การประกันตัว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ การไม่ให้ประกันตัวตามกฎหมายดังกล่าว จะต้องปรากฏว่ามีพฤติการณ์บางอย่าง เช่น มีพฤติกรรมหลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

ซึ่งรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี สมควรมีการปรึกษากับประธานศาลฎีกา ในฐานะประมุขของศาลยุติธรรม เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ เมื่อรัฐบาลมีแนวนโยบายที่จะนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองให้กับประชาชน การชะลอคดีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องหารือกับทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม

4) การนิรโทษกรรมมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน แม้ว่าปัจจุบันจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ของสภาผู้แทนราษฎร แต่ผลการศึกษาดังกล่าว ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายที่จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองของสังคมในตอนนี้ได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงสมควรเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยเร่งด่วน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมต่อไป

นอกจากการนิรโทษกรรมแล้ว รัฐบาลสามารถเสนอร่างกฎหมายอื่นที่จะนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้เกิดการปกป้องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนให้ความคุ้มครองในการประกันตัวของประชาชนที่จะสามารถต่อสู้คดีปกป้องสิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่ต่อไป

“สุดท้ายนี้ พรรคก้าวไกลตั้งความหวังว่า รัฐบาลจะดำเนินการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง เหตุการณ์เสียชีวิตอย่างกรณีคุณเนติพร เสน่ห์สังคม ไม่สมควรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทย จะได้กลับมาทบทวน การฟื้นฟูรากฐานกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ตามที่ประชาชนพึงได้รับ” แถลงการณ์พรรคก้าวไกลระบุ

ก้าวที่พลาดของ 'ก้าวไกล' กับการเลือกตั้ง 'นายกฯ อบจ.ปทุมธานี' อาจมิใช่กระบวนการสรรหาผู้สมัครถูกบีบด้วย 'เวลา-วันลงสมัคร'

“ด้วยการเลือกตั้งนายก อบจ. ปทุมธานีที่กำลังจะมาถึงนี้ เกิดขึ้นกะทันหันจากการที่อดีตนายก อบจ. ชิงลาออกเพื่อฉวยโอกาสสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้แก่ตนเอง พรรคก้าวไกลต้องขอโทษพี่น้องประชาชนชาวปทุมธานี ที่เราไม่สามารถสรรหาและคัดเลือกผู้สมัครนายก อบจ. ปทุมธานี ที่เหมาะสมได้ทันเวลา” นี่คือเหตุผลที่ชัยธวัช ตุลาธน ให้กับสาธารณะถึงการไม่ส่งผู้สมัครชิงนายกฯอบจ.ปทุมธานี

บิ๊กแจ๊ส พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกฯอบจ.ปทุมธานี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลว่า ช่วงท้ายของวาระการดำรงตำแหน่งไม่สามารถทำอะไรได้มาก ด้วยข้อจำกัดระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเบิกจ่ายงบประมาณ ในขณะที่ผู้บริหาร อบจ.โซนลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประเมินว่า ปลายปีจะมีฝนมาก และอาจทำให้น้ำท่วมได้ แต่มีข้อจำกัดในการใช้งบประมาณ ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ 3 ผู้บริหาร อบจ.3แห่งจึงตัดสินใจลาออก คือนายกฯอบจ.นครสวรรค์ นายกฯ อบจ.ปทุมธานี และนายกฯอบจ.อ่างทอง

แต่ฝ่ายคู่แข่งอย่างพรรคก้าวไกลวิเคราะห์ว่า เป็นการลาออกช่วงชิงความได้เปรียบ คู่แข่งตั้งตัวไม่ทัน ก็อาจจะไม่ผิดมากนัก เพราะนักการเมืองก็ต้องอาศัยจังหวะที่ตัวเองได้เปรียบ เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งแน่นอน

แต่น่าแปลกใจที่พรรคก้าวไกลไม่ส่งผู้สมัคร ด้วยเหตุผลของความไม่พร้อมในการคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมมาลงชิง แต่ข้อเท็จจริงของเหตุผลอาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่จำกัด เพราะพรรคก้าวไกลโหมโรง ตีปีบการเลือกตั้งท้องถิ่นมาตั้งแต่ไก่โห่แล้ว การบอกว่า ไม่พร้อมด้วยข้อจำกัดของเวลาในการคัดสรรบุคคล จึงเป็นเหตุผลที่ไม่น่ารับฟัง น่าจะมีเหตุที่อยู่เหนือผลที่ออกมา

เหตุน่าจะมาจากความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ สส.ก้าวไกล ปทุมธานี มากกว่าและมีร่องรอยให้เห็นอยู่

ช่วงเย็นของวันที่ 16 พฤษภาคม ทางทีมงานพรรคก้าวไกลแจ้งกำหนดการผ่านไลน์กลุ่มสื่อมวลชนประจำพรรค ว่า ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค จะเดินทางไปเปิดตัวพบว่าที่ผู้สมัครนายกฯอบจ.ปทุมธานี ในนามพรรคก้าวไกลช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่สุดท้าย ทีมงานของพรรคก็ลบข้อความดังกล่าวทิ้ง พร้อมแจ้งยกเลิกกำหนดการ โดยไม่บอกเหตุผล

จนกระทั่งช่วงเช้าวันที่ 17 พฤษภาคม ทีมงานพรรคก้าวไกลแจ้งเรื่องที่นายชัยธวัช ประกาศว่า กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) พรรค มีมติไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี และไม่สนับสนุนใคร เนื่องจากกระบวนการสรรหาผู้สมัครถูกบีบรัดด้วยเวลา และวันลงสมัคร

ทั้งชัยธวัช และพริษฐ์ ต่างพากันออกมาให้สัมภาษณ์สื่อถึงมติพรรคไม่ส่งผู้สมัครชิงนายกฯอบจ.ปทุมธานี ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว

แต่เหตุของการไม่ส่งผู้สมัครชิงผู้บริหารท้องถิ่นครั้งนี้ น่าจะมีเหตุมากกว่าที่ยกมาอ้างของพรรคที่ประกาศชูธงการกระจายอำนาจ เดินสายพบปะประกาศเจตนาสุดขั้วของการเมืองท้องถิ่น ถึงขั้นเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด การมาสะดุดแค่เงื่อนเวลาจึงไม่น่าใช่

เมื่อพิจารณาโดยเนื้อแท้แล้ว เราพบรอยร้าว ความไม่ลงรอยกันของ สส.ก้าวไกล ปทุมธานี จนนำมาสู่ความอลหม่านครั้งนี้ สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกลไม่เป็นเอกภาพกันเองมากกว่า

กลุ่มหนึ่งหนุน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ที่ทิ้งพรรคเพื่อไทยออกมาแล้ว และชาญ พวงเพ็ชร เข้าไปยึดหัวหาดเพื่อไทยเรียบร้อย สส.กลุ่มนี้เล็งเห็นว่า ถ้าก้าวไกลสนับสนุน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โอกาสชนะมี และจะเป็นการประเดิมชัยชนะสำหรับสนามเลือกตั้งท้องถิ่นในซีซั่นนี้

แต่ สส.อีกกลุ่มกลับคิดว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังมีคราบไคลของทักษิณ ชินวัตร อยู่และแนวคิดอาจจะไม่ตรงกับก้าวไกล ทั้ง ๆ ที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คล้อยมาทางก้าวไกลแล้วด้วยซ้ำ

โดย สส.กลุ่มนี้ กลับไปมีท่าทีสนับสนุน ร.ต.อ.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ลูกชาย 'บิ๊กแจ๊ส' พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัว ก็มีการพูดคุยกับทึมก้าวไกลมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังติดประเด็นตรงที่บิ๊กแจ๊สก็ยังไม่วางมือ (ลูกจะไปเบียดพ่อมันก็น่าเกลียด)

เมื่อ สส.ปทุมธานี อีกกลุ่มหนึ่งคัดค้าน และไม่อยากไปมีอะไรกับพ่อ ทำให้ต่อมา ร.ต.อ.ตรีลุพธ์ ถอนตัวอย่างกะทันหันช่วงคืนวันที่ 16 พฤษภาคม พร้อมข้อเสนอให้พรรคก้าวไกลสนับสนุนพ่อ

ชัยธวัช เรียกประชุม สส.พรรค ผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นการด่วนในช่วงค่ำ เพื่อทำความเข้าใจกับ สส. สุดท้าย นำมาสู่การประกาศต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมว่า พรรคก้าวไกลไม่ส่งคนลงชิงเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี

ก้าวย่างที่พลาดของก้าวไกลในครั้งนี้ถือว่า พรรคเสียหาย กับปี่กลองที่เชิดแล้ว แต่ก้าวไกลไม่รำ กลับกลายเป็นฝ่ายนั่งดู แหม…มันหัวใจระทึกนะ สำหรับนักการเมืองที่ร่ำร้อง เพรียกหาประชาชน

40 สว.แผลงฤทธิ์ จับ 'เศรษฐา-พิชิต' ขึ้นเขียง ส่ง 'ศาลรธน.' ฟัน!! ชี้ขาดคุณสมบัติสิ้นสุด?

ตอนแรกคาดกันว่า การเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 จะเป็นปฏิบัติการทิ้งทวนสั่งลาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ชุดรักษาการ...แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่...เมื่อปรากฏข่าวว่า 40 สว.เข้าชื่อกันเสนอให้ประธานวุฒิฯ ทำหนังสือส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า...

ความเป็นรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรธน.มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4)(5) หรือไม่...

หนังสือที่ว่าถึงโต๊ะ ศาลรธน.เรียบร้อยแล้ว...ทีนี้ก็มาเปิด รธน.ดูกันอีกครั้ง

มาตรา 170 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160

สำหรับมาตรา 160 รัฐมนตรีต้อง...
(4) มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ขยายความตามท้องเรื่องก็คือ...เป็นประเด็นเดิมที่สื่อมวลชน-สังคมเคยถูกเถียงกันว่า กรณีนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เคยถูกคำสั่งศาลจำคุก 6 เดือน (เมื่อปี 2551) ฐานละเมิดอำนาจศาลกรณี 'ถุงขนม' หรือกรณีติดสินบนศาล ยังจะเป็นรัฐมนตรีได้จริง ๆ หรือ...

และต่อมาก็มีการเปิดเผยเอกสารลับการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ประเด็นที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถามเรื่องคุณสมบัติไปเมื่อเดือน ก.ย.2566 นั้น ถามเฉพาะหรือเพียงว่าขัด รธน.มาตรา 160 (6) ที่ระบุว่าไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (ลักษณะต้องห้ามกรณีลงสมัคร สส.) เท่านั้น...ไม่ได้ถามมาตราอื่น

สรุปว่างานนี้ สว.40 คน เขาได้ทำหน้าที่แทนประชาชนที่คับข้องหมองใจได้ครบถ้วนกระบวนความ เหตุที่ต้องพ่วงนายกฯ ไปด้วย แทนที่จะเป็นรมต.ถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน คนเดียว...ก็เพราะนายกฯ เป็นผู้นำความกราบบังคมทูล...ถ้านายพิชิตมีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง นายกฯ ผู้ทูลเกล้าฯ ก็ผิดไปด้วย...ประมาณนั้น...

คนที่ได้ยินคำว่า '40 สว.' ก็สะดุ้งนิดหน่อย เพราะบังเอิญไปตรงกับกลุ่ม 40 สว.เมื่อหลายปีก่อน ที่ค่อนข้างเป็น 'สว.น้ำดี' จากการเลือกตั้งและลากตั้ง...แต่ 40 สว.เฉพาะกิจรอบนี้ก็ดังที่รู้กันว่า...ไม่ใช่...

สายข่าวระบุว่า เมื่อตรวจสอบ 40 รายชื่อแล้วหลายคนเป็น สว.สายเขียว เป็นเตรียมทหารรุ่น 12 เพื่อน 'บิ๊กตู่' นำโดย 'บิ๊กเจี๊ยบ' พล.อ.อรรคนิตย์ หมื่นสวัสดิ์ และยังมี สว.สายทหารรุ่นอื่น ๆ อีก เช่น พล.อ.บุญธรรม โอริส...นอกนั้นก็เป็น สว.ตัวตึงที่คุ้นชื่อกันดี เช่น สมชาย แสวงการ, ประพันธ์ คูณมี, ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม, มหรรณพ เดชวิทักษ์ เป็นต้น

คาดว่างานนี้จะใช้เวลาไม่นาน...เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมายแทบจะล้วน ๆ พูดกันตรงไปตรงมาก็นับว่าชวนเสียวไส้ไม่น้อยเพราะในอดีต นายกรัฐมนตรีของพรรคทักษิณเคยถูกศาล รธน.วินิจฉัย หลุดจากตำแหน่งนายกฯ มาแล้ว 3 คน 

ปี 2551 สมัคร สุนทรเวช คดีทับซ้อนผลประโยชน์จัดรายการชิมไปบ่นไป / ปี 2557 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกรณีใช้อำนาจมิชอบปลด นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.

ปี 2567 ถ้าเศรษฐาร่วง ก็ต้องบอกว่าเพราะตั้งรมต.ถุงขนม

รวมความแล้ว เดือน พ.ค.-ก.ค. ได้ลุ้นระทึกกัน 3 เรื่องราวเป็นอย่างน้อย...

- 29 พ.ค. อัยการจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องทักษิณ ชินวัตร คดีถูกกล่าวหาผิดมาตรา 112
- มิ.ย.-ก.ค. คดียุบพรรคก้าวไกล และรวมทั้งคดี 'เศรษฐา-พิชิต'

ยิ่งถ้าใครไปพลิกคำทำนายของโหราจารย์สำนักต่าง ๆ ในยามนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าระทึก โดยเฉพาะคำทำนายว่า แถว ๆ ส.ค.-ก.ย. อาจจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ไม่ใช่ยึดอำนาจ แต่ก็เหมือนยึดอำนาจ และบางโหรระบุว่า เศรษฐามีโอกาสเก้าอี้หาย...อีกต่างหาก

นานาสถานการณ์ล้วนแล้วแต่กระพริบตาไม่ได้..!!

‘ชัยวุฒิ’ เผย อยากให้เรื่อง ‘บุ้ง’ เป็นอุทาหรณ์ ไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่อขบวนการทางการเมืองอีก

รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เผยอยากให้เรื่องบุ้ง เป็นอุทาหรณ์ ไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอีก พร้อมระบุ พรรคการเมืองไม่ควรดึงเยาวชนมาเป็นเครื่องมือ เคลื่อนไหวเรื่องสถาบัน 

(17 พ.ค. 67) ที่ห้องประชุมโรงแรมไชยแสง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมเปิดงานประชุมใหญ่สาขาพรรคภาคกลาง จังหวัดสิงห์บุรี เวทีประชารัฐร่วมใจเพื่อสร้างชีวิตที่สดใสให้คนไทยทั้งประเทศ

โดยนายชัยวุฒิ กล่าวภายหลังการประชุมว่า การประชุมประจำปีของสมาชิกพรรคที่จังหวัดสิงห์บุรีเรียบร้อยดี เป็นการประชุมและรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรคและพี่น้องประชาชนเพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบายของพรรคต่อไป

ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในตอนนี้ การเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกคนให้ความสนใจอยู่แล้วพยายามแก้ไขอยู่ แต่การเคลื่อนไหวบางเรื่องมันเลยต่อเรื่องการเมืองเป็นการทําผิดกฎหมาย เช่น การผิดมาตรา 112 เป็นการจาบจ้วงสถาบัน อาฆาตมาดร้ายสถาบันนั้นมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งก็ถูกดําเนินคดีไปตามกระบวนการยุติธรรม ผมก็เห็นใจผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน หลายคนก็เป็นเหยื่อของขบวนการแก้ไขมาตรา 112 ผมเห็นใจทุกคน เพราะว่าหลายคนผมได้พูดคุยสอบถามก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนหรือถูกกระทำจากสถาบัน แต่ถามว่าเดือดร้อนเรื่องอะไรไม่มี แต่ถูกยุยงปลุกปุกปั่นให้เกิดความเข้าใจที่ผิด ได้ออกมาเคลื่อนไหวจนตัวเองเดือดร้อนต้องถูกดําเนินคดี ก็เห็นใจทุกคน แต่ไม่อยากให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เพราะว่าเป็นเรื่องของกระบวนการที่มีการดําเนินการในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องแล้วไม่เกี่ยวกับการเมือง และที่สําคัญมีหลายคนไปพูดว่ากระบวนการยุติธรรมเราบิดเบี้ยวไม่ให้ประกันตัว ผมก็ติดตามเรื่องนี้อยู่ก็เข้าใจว่าทุกคนก็เคยได้รับการประกันตัว เพียงแต่ว่าบางคนมีเงื่อนไขไม่ให้ทำผิดซ้ำ คือไม่ให้ไปกระทำความผิดอีก ซึ่งหลายคนก็ได้รับการประกันตัว แต่กลับไปทําผิดซ้ำอีก ขัดคําสั่งของเรื่องการประกันตัว ก็ต้องถูกจับเข้าไปในคุกใหม่ ซึ่งอันนี้ก็เห็นใจน้อง ๆ 

แต่บางคนที่รับการประกันตัวก็หนีไปแล้ว เช่น ไมค์ระยองก็หนีไปแล้ว ผมว่าหลายสิ่งหลายอย่างขบวนการนี้มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมายแล้วก็มีการทําผิดซ้ำ ถ้าเราไม่เข้าใจและปล่อยให้กระบวนการเหล่านี้ดําเนินการต่อไปเรื่อย ๆ ผมว่ามันจะกระทบกับความมั่นคง กระทบกับจิตใจของคนไทยหลาย ๆ คนที่เขารับไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้

เหตุใด? ‘สส.’ ถึงตัดงบฯ สำหรับ ‘เขาพังไกร’ จ.นครศรีธรรมราช หลังสัญญาจะปรับภูมิทัศน์-สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาท

ผมก็งงว่า…ทำไมงบประมาณในการปรับภูมิทัศน์บนเขาพังไกร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเสนอโดยองค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว (อพท.) ถึงถูกตัดออกไปในงบประมาณปี 67

ถูกตัดในชั้นกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ และผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรให้ตัดงบก้อนนี้ออกไป

เขาพังไกร ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง และ อพท.รับไว้เป็นพื้นที่พัฒนาพิเศษ แต่เมื่อมีการเสนอของบประมาณเพื่อปรับภูมิทัศน์บนเขาพังไกร กลับไม่ได้รับความใส่ใจจากสภาผู้แทนราษฎร ตัดงบทิ้งเฉย ซึ่ง #นายหัวไทร ไม่รู้ถึงเหตุผลในการตัด การชี้แจงของหน่วยงานเสนอของบกรรมาธิการงบฯ เข้าใจหรือเปล่า

กล่าวถึง ‘เขาพังไกร’ ต้องมีตำนานผูกโยงกับช้างแน่นอน เพราะมีคำว่า ‘พัง’ หมายถึงช้างตัวเมีย นครศรีธรรมราช มีเรื่องของช้างหลายเชือก เช่น พลายจำเจิญ พลายดำ ช้างตัวเมียเชือกหนึ่งมาล้มที่เขาพังไกร จึงตั้งชื่อชุมชนย่านนี้ว่า ‘เขาพังไกร’

เขาพังไกร ยังมีจุดชมวิวและมีรอยพระพุทธบาทจำลอง ที่ตั้งบนยอดเขาพังไกร สามารถชมทิวทัศน์ได้ 360 องศา จึงเป็นจุดขายทางด้านการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เหมาะแก่การพัฒนา และยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอ พร้อม ๆ กับการศึกษาเรียนรู้วิถีเกษตร แหล่งทำนาใหญ่ของอำเภอหัวไทร

ตามประวัติศาสตร์การปกครอง เขาพังไกรเคยเป็นที่ตั้งของอำเภอ แต่ต่อมาได้ย้ายไปตั้งที่หัวไทรในปัจจุบัน ‘เขาพังไกร’ ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ราวปลายกรุงสุโขทัย ตำบลเขาพังไกรขณะนั้นนับเป็นเมืองที่เก่าแก่เมืองหนึ่ง ซึ่งมีความเจริญทางด้านการเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำในสมัยนั้น จนมาถึงปัจจุบันพื้นที่ ต.เขาพังไกร ก็ยังเป็นแหล่งปลูกข้าวขนาดใหญ่และมีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ เป็นดินแดน 2 ลุ่มน้ำคือลุ่มน้ำปากพนังและลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จึงมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก 

เขาพังไกรมีอัตลักษณ์การดำรงวิถีชีวิตชาวนาไทยอย่างชัดเจน มีข้าวสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ยังมีการปลูกกันอยู่ เช่น ข้าวไข่มดริ้ว ส้มโอทับทิมสยามก็เริ่มขยายพื้นที่ปลูกจากปากพนังมาถึงหัวไทร มาถึงเขาพังไกรแล้ว

เขาพังไกร โดยเฉพาะบนเขาพังไกร จึงเหมาะสมอย่างยิ่งในการพัฒนา ยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเชื่อมโยงกับชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวิถีชีวิตและประเพณีจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวและร่วมกิจกรรมที่ชุมชนร่วมจัดขึ้น สร้างงานสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ภายใต้การดูแลของ อพท.และท้องถิ่น

รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา (สมัยที่ผ่านมา) พิพัฒน์ รัชกิจประการ เคยเดินทางขึ้นไปร่วมกิจกรรมบนเขาพังไกรมาแล้ว และเคยรับปากจะช่วยผลักดันโครงการปรับภูมิทัศน์และสร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทมาแล้ว

ผมเองได้ขึ้นไปกราบรอยพระพุทธบาทบนเขาพังไกรมาแล้วสองครั้ง เพิ่งไปมาเมื่อไม่นานมานี้เอง และเพิ่งรู้ว่าบนเขาพังไกรมารอยพระพุทธบาท และรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ไปสัมผัสกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เห็นท้องนาเขียวขจียืนต้นขนานไปกับต้นตาลสูงเด่นเป็นสง่า

แต่น่าเสียดายโครงการปรับภูมิทัศน์และสร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทบนเขาพังไกร ถูกตัดทิ้งอย่างไม่ไยดีจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่เป็นไรครับ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

เรื่อง : นายหัวไทร

'อัษฎางค์' ตั้งคำถาม 'พิธา' ให้สัมภาษณ์ล่าสุดแก่สื่อยักษ์เมืองเบียร์ สะท้อนการเป็นแนวร่วม 'บุ้ง-พวกบ่อนทำลายสถาบันฯ' หรือไม่

(17 พ.ค.67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

พิธาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว DW ของเยอรมันเรื่องการตายของบุ้งว่า...

นักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวเรียกร้อง ‘หลักนิติธรรมแทนการใช้อำนาจตามกฎหมาย’

“It’s a tragic loss for Thailand as a nation, where a group of young activists was asking for the rule of law instead of rule by law. 

มันเป็นความสูญเสียอันน่าเศร้าของประเทศไทยในฐานะชาติที่มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวซึ่งเรียกร้อง ‘หลักนิติธรรมแทนการใช้อำนาจตามกฎหมาย’

The rule of law กับ The rule by law.
คืออะไรและแตกต่างกันอย่างไร้?

Rule by Law คือ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เอาไว้บังคับคนอื่น ไม่บังคับกับพวกตัวเอง 

Rule of Law คือ หลักนิติธรรมที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

• หลักนิติธรรม (The Rule of Law) เน้นความยุติธรรม ความเสมอภาค และการคุ้มครองสิทธิของบุคคล โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและชอบธรรมต่อทุกคน

• การปกครองโดยกฎหมาย (Rule by Law) เน้นการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมและรักษาอำนาจ โดยอาจทำให้ความยุติธรรมและสิทธิของบุคคลถูกละเลย เพื่อรับใช้ประโยชน์ของผู้มีอำนาจ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยปกครองประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ที่บัญญัติไว้ชัดเจนในเรื่องความยุติธรรม ความเสมอภาค และการคุ้มครองสิทธิของบุคคล โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและชอบธรรมต่อทุกคน

พิธาอ้าง “กลุ่มนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวซึ่งเรียกร้องหลักนิติธรรมแทนการใช้อำนาจตามกฎหมาย” 

พวกเขาเรียกร้องให้มีปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยอ้างว่าคนเห็นต่างทางการเมืองต้องไม่ถูกคุมขัง และได้รับสิทธิ์ประกันตัวนั้น 

ทั้งที่ กลุ่มนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาวต่างหากที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การกระทำของคนกลุ่มนี้ ไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นต่างทางการเมือง แต่เป็นการกระทำที่ไปดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมาย

ในทุกประเทศทั่วโลก ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิส่วนบุคคล เพื่อไปดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายและละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเมิดกฎหมายคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ

การที่พิธาเอาเรื่องนี้ไปให้สัมภาษณ์เพื่อบอกกับชาวโลกผ่านสื่อยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี เป็นการแสดงว่าพิธาและพรรคก้าวไกล เป็นแนวร่วมกับบุ้งและพวก ในการตั้งใจละเมิดกฎหมาย “ด้วยมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด” ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล หรือไม่?

อัษฎางค์ ยมนาค

อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ >> https://www.atsadang.com/?p=4309&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2VNX8wssj0A6NN5Cl3WF2bKvLxnjwdpcc8uq4cYatk1RAFycpDUKAlrjE_aem_AQ2wBFNBaNGerlexEENz0B2uKh0SEL6vGFpBuZF6uEowdxe6XCSnSbyXK7Ry2CSCIbe2DzGesxMcRuNbMokXRtdl 

ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 สว. ฟัน 'เศรษฐา-ถุงขนม' พ้น 'นายกฯ-รัฐมนตรี'

(17 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความเคลื่อนไหวของวุฒิสภา (สว.) ว่า สว. ได้ร่วมกันเข้าชื่อ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ของนายพิชิต ชื่นบาน หลังมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นที่ว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบีติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ผ่านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา และล่าสุดเรื่องดังกล่าวถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาแล้ว

โดยนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ในฐานะผู้ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของ สว. ที่ต้องทำหน้าที่ ในฐานะเป็นผู้แทนปวงชน หลังประเด็นการดำรงตำแหน่งของนายพิชิตนั้นมีผู้แสดงความเห็นในวงกว้าง และเวทีสาธารณะว่าเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเห็นว่าควรส่งให้องค์กรที่มีหน้าที่ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย โดยมี สว. ร่วมเข้าชื่อ 40 คน จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสว.ที่มีอยู่

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลที่ระบุและบรรยายให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา คือ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งกรณีของนายพิชิตนั้น มีข้อเท็จจริงที่ปรากฎให้เห็นว่ามีการละเมิดอำนาจศาล และมีคำสั่งศาลสั่งให้จำคุก ทั้งนี้มีคำบรรยายรายละเอียดข้อเท็จจริงของศาลที่ชัดเจนว่ามีพฤติกรรมทุจริต ติดสินบนต่อกระบวนการยุติธรรม และถูกนำเรื่องเข้าสู่สภาทนายความให้ลบชื่อจากการเป็นทนายความ ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดแจ้งว่าไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และยังมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวถึงกรณียื่นให้พิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายเศรษฐา ด้วยว่า เป็นกรณีสืบเนื่องกัน โดยมีประเด็นที่ทักทวงต่อการตั้งนายพิชิตให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ทำไมนายกฯยังเสนอชื่อและโปรดเกล้าฯ ให้นายพิชิตดำรงตำแหน่งในตำแน่งรัฐมนตรีอีก ดังนั้นจึงถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ

แต่กรณีของนายกฯ ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย ส่วนที่ระบุว่าได้หารือกับกฤษฎีกาแล้ว พบว่าเป็นการหารือที่ไม่ตรงประเด็น ทั้งระยะเวลาการพ้นโทษ และการตีความระหว่างคำสั่ง กับคำพิพากษาเหมือนกันหหรือไม่ ทั้งนี้เรายังพบประเด็นที่เป็นปัญหา จึงเข้าชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวด้วยว่าตนทราบว่าสำนักงานวุฒิสภาได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และจากสำเนาเอกสารทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องแล้วในวันที่ 16 พ.ค. เวลาา 10.20 น. ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ต้องพิจารณาในประเด็นความสิ้นสุดลงของรัฐมนตรี และตำแหน่งนายกฯด้วย โดยรายละเอียดต่อจากนี้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา ทั้งนี้ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทยตามหน้าที่และอำนาจของสว. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องจากนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ไว้พิจารณาวินิจฉัย หลังจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กว่า 40 คน ได้เข้าชื่อ และยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่

โดยประธานวุฒิสภา ได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 16 พ.ค.67 และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับคำร้อง ไว้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2567 เวลา 10.20 น.

'อี้-แทนคุณ' ไขก๊อก ปชป. ขอมุ่งงานด้านการศึกษา-สานสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมทำนุบำรุงศาสนา ช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุดก่อนตายตามที่ตั้งใจ

(17 พ.ค. 67) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Tankhun Jittitsara page' ระบุว่า...

จดหมายลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นทางการที่ได้ส่งให้กับ กกต.เรียบร้อยแล้วครับ

จากนี้ไปขอเป็นคนทำงานด้านศาสนา ศิลปะ การศึกษาและส่งเสริมสายสัมพันธ์ไทย-จีน

ที่สำคัญช่วยเหลือคนอื่นให้มากที่สุดก่อนตายตามที่ตั้งใจไว้ครับ

ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ว่าร้ายหรือดี คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ

และขออภัยหากเคยขัดใจล่วงเกินใครไว้

ขอบคุณมากครับ

‘ธนกร’ ซัด ‘ปิยบุตร’ สนแต่ปลุกนิรโทษฯ คนผิด ม.112 แต่ไม่เคยหนุนจัดการ ‘คนบิดเบือน-เบื้องหลังเยาวชน’

(17 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจและรัฐบาล ตรากฎหมายนิรโทษกรรมโดยรวมคดีผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าด้วย หลังเกิดเหตุ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เสียชีวิตในเรือนจำ โดยอ้างว่าคดีนี้มีแรงจูงใจจากการเมือง ว่า ส่วนตัว ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ‘บุ้ง’ ด้วย เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ตนก็ไม่เห็นด้วยกับทั้งการแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดในคดีมาตรา 112 ดังกล่าว เพราะถือเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ และย้ำมาโดยตลอด ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงขอคัดค้านหากมีผู้เสนอให้รวมคดีนี้ เป็นคดีการเมือง เพราะมาตราดังกล่าวถือเป็นความมั่นคงของชาติที่ต้องมีไว้ปกป้องประมุขแห่งรัฐ ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งควรมุ่งไปแก้ไขที่ต้นเหตุ คือผู้ที่ให้ข้อมูลบิดเบือน และอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมากกว่า หากไม่มีผู้ใหญ่กลุ่มนี้ คอยยุยง ส่งเสริมให้ข้อมูลผิด ๆ คงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องการให้มีการแก้กฎหมายเกี่ยวกับการประกันตัวนั้น? นายธนกร กล่าวว่า กฎหมายให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่ผู้ต้องหาตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีของ ‘บุ้ง’ นั้น ต้องแยกส่วน เรื่องศาลถอนประกันกับการประกาศอดอาหาร เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการถอนประกัน ตนเชื่อว่า ศาลมีการวินิจฉัยที่รอบคอบพิจารณาจากหลักฐานและพฤติการณ์การกระทำความผิดซ้ำหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นดุลยพินิจของศาล ตนไม่ขอก้าวล่วง

ทั้งนี้ตนเห็นด้วยที่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมมีคดีที่มาจากแรงจูงใจทางการเมือง มีข้อสรุปออกมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว ว่า เรื่องการกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.112 นั้น ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย การจะนิรโทษกรรม ควรเป็นคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ทั้งที่เป็นแกนนำและมวลชนที่ร่วมชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน หากเป็นคดีที่ไม่ร้ายแรง ก็เข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรมได้

“คนที่พูดกล่าวหา ให้ร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำผิดมาตรา 112 แบบซ้ำซาก หากมีการเหมารวมยกเข่งนิรโทษกรรมให้คนเหล่านี้ ถือเป็นการ เหยียบย่ำหัวใจคนไทยมากเกินไป เพราะกฎหมายนี้ มีไว้ปกป้องประมุขของประเทศไม่ให้ถูกละเมิด เชื่อว่า ถ้านิรโทษฯ ให้ไม่มีใครรับได้แน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘กมธ.อุตฯ’ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา ยัน!! มีนักลงทุนไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมายไทย

กมธ.อุตฯ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา หนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด สร้างแพลตฟอร์มเพื่อหนุนการใช้ซัพพลายเชนของไทย จ่อหารือพาณิชย์ก่อนรับจดทะเบียนบริษัทจีน ต้องมีใบรับรองจากสถานทูตจีน

(16 พ.ค.67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ กับ นางสาวจาง เซียวเซียว (Ms. Zhang Xiaoxiao) อุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมว่า ในการหารือครั้งนี้ ได้เน้นในเรื่องของการสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างสถานทูตจีนกับคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ซึ่งจะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันในการค้าการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ทางฝ่ายจีนได้ขอให้ไทยสนับสนุนการสร้างซับพลายเชน เพื่อให้จีนและไทยได้มีโอกาสสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งเป็นความต้องการของไทย เพราะปัจจุบันนักลงทุนของจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังมีการใช้ทรัพยากรในไทยค่อนข้างน้อย จึงเป็นไปตามความคิดเห็นร่วมกันที่ทั้ง 2 ฝ่าย เสริมสร้างการลงทุนด้วยการ สร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาในการใช้ซับพลายเชนของไทยมากขึ้น

นายอัครเดช บอกอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลจีน ยังต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเพิ่มเติม ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ปัจจุบันนี้ พลังงานสะอาดยังมีส่วนที่ต่ำอยู่เพียง 10% โดยรัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาดมากขึ้น ถือว่าจะช่วยลด PM 2.5 ในไทยด้วย

ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้หารือในเรื่องของแรงงาน โดยต้องการให้มีการเพิ่มความสะดวกในการขยาย หรือขอใบอนุญาตการทำงานของผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งเครื่องจักร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันนี้ใบอนุญาต จะต้องใช้เวลาในการขอค่อนข้างนาน โดยตนได้รับเรื่องมาปรึกษากับทางกรรมาธิการแรงงานและกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้การค้า การลงทุนราบรื่นมากยิ่งขึ้น

“นักลงทุนจากจีน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการลงทุน ที่สามารถจะพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีนักลงทุนเพียงไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมาย โดยจะได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน ในการส่งข้อมูลของนักลงทุนจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ให้ทางการจีนได้รับทราบ เพื่อร่วมกันควบคุม” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช บอกต่อว่า ในส่วนของนักลงทุนจีนที่มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎหมายไทยที่มีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมจะสนับสนุนให้มีการลงทุนมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจดทะเบียนการค้า โดยต่อไปจะให้มีการไปรับทราบนโยบายของทางสถานทูตจีนก่อน ซึ่งตนจะเชิญกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เข้าหาหรือว่าก่อนจะรับจดทะเบียนนักลงทุนจากทางจีน จะต้องมีการขอใบแนะนำหรือใบส่งตัวจากทางสถานทูตจีน เพื่อให้กรมธุรกิจการค้าพิจารณาก่อนรับจดทะเบียน เพื่อเป็นการควบคุมนักธุรกิจจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย จะทำให้การค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศราบรื่นมากยิ่งขึ้นในอนาคต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top